"ผู้หญิงทุกคนเอาแต่ใจ
น้ำตาตกในตบมือข้างเดียว เรื่องง่ายๆ ที่ผู้ชายไม่รู้ แต่ผู้หญิงเค้ารู้ผู้ชายไม่เกี่ยว"
หากเอ่ยกิตติศัพท์ของนักร้องหญิงเบอร์ 1 แห่งค่ายอาร์เอส
"ปาน-ธนพร
แวกประยูร" เจ้าแม่เพลงรัก เนื้อหาบาดใจ ปล่อยเพลงไหนออกมา
ก็ดูเหมือนกรีดลึกถึงหัวอกหัวใจผู้หญิงด้วยกัน ทั้งสื่อความตรงไปตรงมาโดนใจแบบเต็ม ๆ
ผ่านน้ำเสียงอันทรงพลัง บวกกับมิวสิกวิดีโอแรงท้ากระแสสังคมอยู่เป็นประจำ
ทำให้เธอเสมือนเป็นปากเป็นเสียงแทน
"สตรียุคใหม่"
ให้กล้าลุกขึ้นจิกกัดผู้ชายไม่รักดี
แต่เบื้องหลังนักร้องปากร้าย กลับมีตัวตนเป็น
"คนธรรมะธัมโม"
ย้อนแย้งกับภาพเบื้องหน้าอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าอิ่มเอมและรูปร่างที่ไม่ใหญ่เหมือนในจอแก้ว
"ปาน
ธนพร" เดินเข้ามาทักทายทีมข่าวประชาชาติธุรกิจอย่างเป็นกันเอง
ก่อนจะเริ่มบทสนทนาเผยให้เห็นมุมสว่างที่สปอตไลต์ส่องมาไม่ค่อยถึง เพราะนอกจากภารกิจ
"จับไมค์
ไฟส่องหน้า" ขึ้นเวทีร้องเพลงแล้ว เธอยังชอบใช้ชีวิต
"อยู่ในวัดเป็นประจำ"

"ปานสนใจธรรมะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแค่คนนอกไม่ค่อยรู้
เริ่มศึกษาธรรมะจากการอ่าน แล้วลองนำมาปฏิบัติ แต่ก็ไม่อยากเรียกตัวเองว่าเป็นนักปฏิบัติ แค่เป็นนักอ่าน
ที่พยายามพิสูจน์ตัวเองไปเรื่อย ๆ
เท่านั้น"
ถึงแม้เดินสายทัวร์คอนเสิร์ตและงานสอนร้องเพลงจะคิวแน่นเอียดแทบไม่มีเวลาหายใจ
แต่สาวปากร้าย ใจบุญ ยังเจียดเวลาขออาสาทำงานเพื่อกุศลโดยไม่คิดสตางค์
มีเวลาว่างเมื่อใด ก็จะชอบแวะเวียนมาช่วยงานพระที่วัดปทุมวนารามอยู่เป็นประจำ
พร้อมยังซุ่มสร้างโปรเจ็กต์ทำเพลงบทสวดมนต์เผยแพร่ลง
YouTube
"ไม่ใช่แค่ร้องแต่เพลงทางโลกอย่างเดียว เพลงธรรมะก็ร้องทิ้งไว้หลายเพลง
แต่อย่างที่รู้กันว่า เพลงธรรมะค่อนข้างเข้าถึงยาก ไม่เหมือนเพลงทางโลก ทั้งด้วยแรงโปรโมตไม่ค่อยดี
อาศัยได้เพียงปากต่อปากกระจายข่าว"
บทสวดมนต์ที่หลายคนเคยท่องจำสมัยยังเป็นนักเรียน
แต่วันนี้บางคนอาจลืมเลือนไปแล้ว เช่น ปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุทธ
บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นำกลับมาทำบทเพลงใหม่อีกครั้ง
ถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังในโอกาสพุทธชยันตี 2,600 ปี
เพื่ออยากส่งข้อความถึงพุทธศาสนิกชนทุกคนให้ชนะมารในใจตัวเองให้ได้เสียก่อน นั่นคือ
"การชนะใจตัวเอง"
จุดเริ่มที่ทำให้นักร้องทางโลกหันเหเลือกขับกล่อมบทเพลงทางธรรม
ย้อนหลังกลับไป 4-5 ปี ปานได้มีโอกาสทำ "เพลงพุทธคุณ" มียอดชมใน YouTube แตะแสนวิว
ถือว่าประสบความสำเร็จสำหรับเพลงธรรมะ กลายเป็นสะพานทอดให้ปานได้ร้องเพลงธรรมอีกหลายเพลง เช่น
เพลงสมเด็จพระสังฆราช เพลงอรุณทอแสงของหลวงพ่อวิริยังค์ หรือเพลงกราบหลวงตา (หลวงตามหาบัว)
และกำลังมีโปรเจกต์นำเรื่องพระมหาชนกของในหลวง
มาตีความเป็นเพลงคีตชนก
"เมื่อเริ่มร้องเพลงธรรมะเยอะ ๆ น้ำหนักความสบายใจมากขึ้นจริง ๆ
จนบางครั้งไม่อยากกลับไปร้องเพลงทางโลก"
ด้วยพรสวรรค์
"เสียงฟ้าประทาน" ติดตัวปาน-ธนพร
มาแต่เกิด ของขวัญชิ้นนี้ช่วยกรุยทางให้เป็นศิลปินโด่งดังยาวนานกว่า 12 ปี
แต่อีกมุมหนึ่งเธออยากอุทิศเสียงสวรรค์ เพื่อรับใช้พุทธศาสนา
ในฐานะชาวพุทธคนหนึ่งที่ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง
แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะเลือกหันหลังให้เพลงทางโลก
เพราะการร้องเพลงธรรมะไปด้วยก็มีธรรมชาติไม่ต่างกันนัก
"เพราะทางโลกก็มีทางธรรม
ในทางธรรมก็มีทางโลก ผสมกันไปมาอยู่เสมอ เพราะแท้จริงธรรมะสอนเรื่องธรรมชาติ
เมื่อนำมาผสมผสานกันก็จะพบว่าไม่ต่างกัน เพียงแค่พูดกันคนละแบบ
ครั้งหนึ่งชีวิตก็เคยตกอยู่ในสภาวะแบบในบางบทเพลง ทั้งเพลงรัก ก็เคยรู้จักรัก เคยเข้าใจตอนเลิกลากับแฟน
แต่เมื่อนำมาปรับใช้ ทำความเข้าใจกับชีวิต แล้วก็ต้องรู้จักวาง รู้จักถอยออกมา
เพราะเห็นบางคนหลุดเข้าในโลกจินตนาการตามบทเพลง คิดว่าตัวเองอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา
ที่สุดแล้วก็ต้องรู้จักปรับสมดุล ใช้แล้วก็ต้องวาง ธรรมะก็เช่นกัน อย่าหลงติดอยู่ในบุญ"
ปานทิ้งท้ายอย่างเข้าใจชีวิต
ปาน-ธนพร เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เจ้าตัวไม่อยากจะร้องเพลงที่ด่าผู้ชายอีกแล้ว และไม่อยากที่จะให้ภาพลักษณ์ของตนเป็นเช่นนั้น ทุกวันนี้จะร้องเพลงธรรมะ และร้องเพลงแบบกลางๆ สบายสบายแทน ส่วนเพลงในแบบฉบับเดิมของตนอาจจะไม่มีมาให้เห็นเป็นอัลบั้ม แต่จะได้เห็นได้ยินในเพลงประกอบละครแทน โดยเธอไม่ทิ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขอให้ภาพเธอไม่ขาว และไม่ดำ จนเดินไป ....ขอให้เป็นสีเทา
ขอบคุณข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจ