วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Khun Chang Khun Phaen ขุนช้างขุนแผน วรรณคดีไทยสู่วรรณกรรมโลก

29 กรกฎาคม "วันภาษาไทย" 



ในโลกนี้มีอะไรเป็นไทยแท้          ของไทยแน่นั้นหรือคือภาษา 
ซึ่งผลิดอกออกผลแต่ต้นมา        รวมเรียกว่าวรรณคดีไทย 

        ตามดูเรื่องราว "ขุนช้างขุนแผน วรรณคดีไทยสู่วรรณกรรมโลก" The Tale of Khun Chang Khun Phaen Siam's Folk Epic of Love, War and Tragedy ความงดงานของภาษาไทยที่เราความภาคภูมิใจ
            ดร.คริสโตเฟอร์  เบเคอร์ นักประวัติศาสตร์  และ ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร นักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  หยิบมาแปลเป็นฉบับภาษาอังกฤษ โดยใช้ชื่อว่า "The Tale of Khun Chang Khun Phaen" Siam's Folk Epic of Love, War and Tragedy ซึ่งยังคงเนื้อหาเดิมทุกประการตามฉบับสมบูรณ์  และได้รับรางวัลระดับโลก เบ็กเกอร์ ไพรซ์ ให้เป็นวรรณกรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้... 

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปาน นักร้องปากร้าย หัวใจธรรมะ


  
 

"ผู้หญิงทุกคนเอาแต่ใจ น้ำตาตกในตบมือข้างเดียว เรื่องง่ายๆ ที่ผู้ชายไม่รู้ แต่ผู้หญิงเค้ารู้ผู้ชายไม่เกี่ยว"


         หากเอ่ยกิตติศัพท์ของนักร้องหญิงเบอร์ 1 แห่งค่ายอาร์เอส "ปาน-ธนพร แวกประยูร" เจ้าแม่เพลงรัก เนื้อหาบาดใจ ปล่อยเพลงไหนออกมา ก็ดูเหมือนกรีดลึกถึงหัวอกหัวใจผู้หญิงด้วยกัน ทั้งสื่อความตรงไปตรงมาโดนใจแบบเต็ม ๆ ผ่านน้ำเสียงอันทรงพลัง บวกกับมิวสิกวิดีโอแรงท้ากระแสสังคมอยู่เป็นประจำ ทำให้เธอเสมือนเป็นปากเป็นเสียงแทน "สตรียุคใหม่" ให้กล้าลุกขึ้นจิกกัดผู้ชายไม่รักดี



       แต่เบื้องหลังนักร้องปากร้าย กลับมีตัวตนเป็น "คนธรรมะธัมโม" ย้อนแย้งกับภาพเบื้องหน้าอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าอิ่มเอมและรูปร่างที่ไม่ใหญ่เหมือนในจอแก้ว "ปาน ธนพร" เดินเข้ามาทักทายทีมข่าวประชาชาติธุรกิจอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเริ่มบทสนทนาเผยให้เห็นมุมสว่างที่สปอตไลต์ส่องมาไม่ค่อยถึง เพราะนอกจากภารกิจ "จับไมค์ ไฟส่องหน้า" ขึ้นเวทีร้องเพลงแล้ว เธอยังชอบใช้ชีวิต "อยู่ในวัดเป็นประจำ"



"ปานสนใจธรรมะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแค่คนนอกไม่ค่อยรู้ เริ่มศึกษาธรรมะจากการอ่าน แล้วลองนำมาปฏิบัติ แต่ก็ไม่อยากเรียกตัวเองว่าเป็นนักปฏิบัติ แค่เป็นนักอ่าน ที่พยายามพิสูจน์ตัวเองไปเรื่อย ๆ เท่านั้น"

      ถึงแม้เดินสายทัวร์คอนเสิร์ตและงานสอนร้องเพลงจะคิวแน่นเอียดแทบไม่มีเวลาหายใจ แต่สาวปากร้าย ใจบุญ ยังเจียดเวลาขออาสาทำงานเพื่อกุศลโดยไม่คิดสตางค์



     มีเวลาว่างเมื่อใด ก็จะชอบแวะเวียนมาช่วยงานพระที่วัดปทุมวนารามอยู่เป็นประจำ พร้อมยังซุ่มสร้างโปรเจ็กต์ทำเพลงบทสวดมนต์เผยแพร่ลง YouTube


"ไม่ใช่แค่ร้องแต่เพลงทางโลกอย่างเดียว เพลงธรรมะก็ร้องทิ้งไว้หลายเพลง แต่อย่างที่รู้กันว่า เพลงธรรมะค่อนข้างเข้าถึงยาก ไม่เหมือนเพลงทางโลก ทั้งด้วยแรงโปรโมตไม่ค่อยดี อาศัยได้เพียงปากต่อปากกระจายข่าว"


     บทสวดมนต์ที่หลายคนเคยท่องจำสมัยยังเป็นนักเรียน แต่วันนี้บางคนอาจลืมเลือนไปแล้ว เช่น ปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุทธ บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นำกลับมาทำบทเพลงใหม่อีกครั้ง ถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังในโอกาสพุทธชยันตี 2,600 ปี เพื่ออยากส่งข้อความถึงพุทธศาสนิกชนทุกคนให้ชนะมารในใจตัวเองให้ได้เสียก่อน นั่นคือ "การชนะใจตัวเอง"



     จุดเริ่มที่ทำให้นักร้องทางโลกหันเหเลือกขับกล่อมบทเพลงทางธรรม ย้อนหลังกลับไป 4-5 ปี ปานได้มีโอกาสทำ "เพลงพุทธคุณ" มียอดชมใน YouTube แตะแสนวิว ถือว่าประสบความสำเร็จสำหรับเพลงธรรมะ กลายเป็นสะพานทอดให้ปานได้ร้องเพลงธรรมอีกหลายเพลง เช่น เพลงสมเด็จพระสังฆราช เพลงอรุณทอแสงของหลวงพ่อวิริยังค์ หรือเพลงกราบหลวงตา (หลวงตามหาบัว) และกำลังมีโปรเจกต์นำเรื่องพระมหาชนกของในหลวง มาตีความเป็นเพลงคีตชนก

"เมื่อเริ่มร้องเพลงธรรมะเยอะ ๆ น้ำหนักความสบายใจมากขึ้นจริง ๆ จนบางครั้งไม่อยากกลับไปร้องเพลงทางโลก"


     ด้วยพรสวรรค์ "เสียงฟ้าประทาน" ติดตัวปาน-ธนพร มาแต่เกิด ของขวัญชิ้นนี้ช่วยกรุยทางให้เป็นศิลปินโด่งดังยาวนานกว่า 12 ปี แต่อีกมุมหนึ่งเธออยากอุทิศเสียงสวรรค์ เพื่อรับใช้พุทธศาสนา ในฐานะชาวพุทธคนหนึ่งที่ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง

     แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะเลือกหันหลังให้เพลงทางโลก เพราะการร้องเพลงธรรมะไปด้วยก็มีธรรมชาติไม่ต่างกันนัก



"เพราะทางโลกก็มีทางธรรม ในทางธรรมก็มีทางโลก ผสมกันไปมาอยู่เสมอ เพราะแท้จริงธรรมะสอนเรื่องธรรมชาติ เมื่อนำมาผสมผสานกันก็จะพบว่าไม่ต่างกัน เพียงแค่พูดกันคนละแบบ ครั้งหนึ่งชีวิตก็เคยตกอยู่ในสภาวะแบบในบางบทเพลง ทั้งเพลงรัก ก็เคยรู้จักรัก เคยเข้าใจตอนเลิกลากับแฟน แต่เมื่อนำมาปรับใช้ ทำความเข้าใจกับชีวิต แล้วก็ต้องรู้จักวาง รู้จักถอยออกมา เพราะเห็นบางคนหลุดเข้าในโลกจินตนาการตามบทเพลง คิดว่าตัวเองอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา ที่สุดแล้วก็ต้องรู้จักปรับสมดุล ใช้แล้วก็ต้องวาง ธรรมะก็เช่นกัน อย่าหลงติดอยู่ในบุญ" ปานทิ้งท้ายอย่างเข้าใจชีวิต

            ปาน-ธนพร เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เจ้าตัวไม่อยากจะร้องเพลงที่ด่าผู้ชายอีกแล้ว และไม่อยากที่จะให้ภาพลักษณ์ของตนเป็นเช่นนั้น ทุกวันนี้จะร้องเพลงธรรมะ และร้องเพลงแบบกลางๆ สบายสบายแทน ส่วนเพลงในแบบฉบับเดิมของตนอาจจะไม่มีมาให้เห็นเป็นอัลบั้ม แต่จะได้เห็นได้ยินในเพลงประกอบละครแทน  โดยเธอไม่ทิ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขอให้ภาพเธอไม่ขาว และไม่ดำ จนเดินไป ....ขอให้เป็นสีเทา
ขอบคุณข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจ

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ส้มตำแซบหลาย อร่อยลืมตายไปเลย ร้านไอตำ(I-Tum) หรูหราแต่ราคาประหยัด หลากหลายเมนู อิ่มอร่อย




“ร้านไอตำ(I-Tum)” @
เออร์ เบินสแควร์ประชาชื่น
ส้มตำ หรูหราแต่ราคาประหยัด

หลากหลายเมนู

อิ่มอร่อย




     เทอมนี้การบ้านหนักหนาสาหัสสากันเพราะปี 4 แล้วนิ วันนี้เลยขอเดินเล่นรอบรั้วมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คลายเครียดกับเพื่อนๆ กันหน่อย เดินไปเดินมาแถวๆ “เออร์เบินสแควร์ประชาชื่น” เลยออก ความคิดว่าหาอะไรมากระแทกปากกันดีกว่าเพื่อนๆ หลังจากที่ทุ่มเททำการบ้านนานาวิชา (อดอยากมานานแรมเดือน^_^) อย่างไม่ลืมหูลืมตามาตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว
    
     ผมเคยทาน "ส้มตำ" มาแล้วก็หลายร้าน แต่ “ร้านไอตำ” แตก ต่างกว่าร้านอื่นๆ ที่เคยทานตรงที่ ร้านมีบรรยากาศดี ติดแอร์ ตกแต่งร้านเก๋ไก๋ แถมยังราคาไม่แพงเบากระเป๋าไม่ต้องลำบากสตางค์คุณแม่ ทั้งนี้ร้านเขายังคำนึงถึงความสะอาดมาเป็นลำดับต้นๆ เคยทานร้านข้างทางบางร้านอร่อยก็จริงแต่ไม่สะอาดทานแล้วท้องเสีย แต่ผมก็คิดว่าเป็นส่วนน้อยแหละ   ส่วนใหญ่ก็คงเน้นเรื่องความสะอาดบ้างล่ะ

    
     ร้านนี้คึกคักในช่วงเวลาของเที่ยงวัน กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็น วัยรุ่น นักศึกษา รองลงมา คือ กลุ่มวัยทำงานและผู้ใหญ่ แต่ช่วงที่ผมไปทานนั้นเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ แล้วร้านโล่ง ใครที่ไม่ชอบความวุ่นวายก็เลือกมาทานเวลาเดียวกับผมก็ได้  "ร้านไอตัม" ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า“เออร์เบินสแควร์ประชาชื่น” ร้านสังเกตได้ง่ายมีครกกับสากอยู่หน้าร้านเป็นจำนวนมาก



     เดินเข้ามาเจอโคมไฟห้อยจากเพดานแปลกตาไม่เหมือนที่ใดๆ โดยนำเอา “หวดนึงข้าวเหนียว” ที่สานจากไม้ไผ่ทาด้วยสีดำ  นอกจากนั้นแล้วผนังทุกด้านของร้านนี้ยังมีกระดานดำแผ่นใหญ่ให้ลูกค้าเข้ามา ปลดปล่อย ระบายอารมณ์ เอ่ย!!! ขีดเขียนความรู้สึกที่ได้ทานอาหารร้านนี้ จัดให้โดยเฉพาะจะได้ไม่ต้องไปเขียนกำแพงบ้านคนอื่น หรือทำผนังห้องน้ำเป็นสมรภูมิบทกลอนอีกต่อไป  และในกระดานดำยังติดรูปถ่ายรูปถ่ายลูกค้าที่เข้ามาทานอีกด้วย เดี๋ยววันหลังไปพกรูปไปด้วยด้วยดีกว่า ฮิๆๆ
    


     เมนูที่นี้มีหลากหลายรายการ ทุกอย่างหน้าตาดี น่ารับประทานมาก สำรวจดูมีรายการอาหารประเภท ต้ม ผัก แกง ทอด ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวไม่ซ้ำใคร


     
     มาร้านนี้ต้องสั่งส้มตำที่ชื่อว่า “ไอตำ” ชื่อเดียวกับชื่อร้านเลยครับ ใครมาแล้วไม่ควรพลาดที่จะสั่งมาชิมเป็นเด็จขาด ในจานไอตำนั้นประกอบด้วย มะละกอ หมูยอ มะกอก เม็ดกระถิน  ขนมจีน ปลาร้า(ใครไม่ชอบสั่งได้พนักงานน่ารัก) เสริฟโรยหน้าด้วยแคบหมูที่สั่งตรงจากภาคเหนือ และมีตำอื่นๆอีกมากมาย อาทิ ที่สั่งมาทานวันนี้ คือตำไทย รสชาติเด็จอย่าบอกใคร


     หมู น้ำตก ที่คัดเลือกเอาเนื้อส่วนที่ไม่มีไขมัน และสั่งโดยตรงจากฟาร์ม เมื่อวางบนลิ้นแล้วรู้สึกได้ถึงความหอม นุ่มละมุนละไม เหมือนทานปุยเมฆยังไงยังนั้น (ว่าแต่ใครเคยกินปุยเมฆฮิๆ เอา...เถอะมันอร่อยก็แล้วกัน)




 
     ต้มแซบกระดูกอ่อน แซบสมชื่อจริงๆ  เดือดตั้งแต่วางลงบนโต๊ะ จนจ่ายตังค์แล้วเสร็จแล้วยังไม่หยุดเดือด ไม่รู้เป็นเพราะแผ่นรองกันความร้อนรูปเตาไปนี้หรือเปล่านะ แถมเนื้อหมูในหม้อชิ้นใหญ่ไปใจจริงๆๆ ชอบ ได้เยอะด้วย ร้านนี้เขาต้มเนื้อให้เปื่อยแทบจะไม่ได้เคี้ยว ใส่ปากแล้วกลืนลงคอได้เลย

     แม้แต่ข้าวร้านนี้เค้ายังคัดเอาข้าวหอมมะลิชั้นดี มีให้เลือกทั้งข้าวเหนียวและข้าวสวย ทานทั้งยังอุ่นๆอยู่เลยครับ

     วันนี้เป็นโรคทรัพย์จางอยู่พอดี เลยสั่งมาทานได้แค่นี้ แต่เมนูเด็จของทางร้านไม่ได้มีแค่นี้ ใครที่อยากชมภาพสวยๆคลิกตรงนี้เลย http://www.facebook.com/album.php?aid=191472&id=633888628 เดี๋ยววันหลังไปกินจะรีบนำมาอัฟเดจทันทีผ่านทางทวิเตอร์ นี้เลยแหละ http://twitter.com/everythingjingl  หรือติดตามต่อได้ในตอนหน้าครับ

ร้านไอตำ                     เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00 – 22.00 น.
การเดินทางรถเมล์        ลงป้ายถัดจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ป้ายเดียว สาย 70 66 24   
การเดินทางรถส่วนตัว    มีที่จดรถในศูนย์การค้า เออร์เบินสแควร์ประชาชื่น





นายเอกพงษ์  ทองปั้น
50155-0243
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิิตย์

ตำนานภูเขา เที่ยวร่อง ท่อง ภูเรือ ดินแดนแห่งทะเลภูเขา หนาวสุดในสยาม

ตำนานภูเขา...
 
เที่ยวร่อง ท่อง “ภูเรือ” 
 
ดินแดนแห่งทะเลภูเขา หนาวสุดในสยาม






ชมทะเลภูเขา

     ใกล้วันแม่เต็มทีแล้ว หวนคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน นึกถึงบุพการีอันเป็นที่รักยิ่ง จึงอยากจะแนะนำให้เหล่าแมลงท่องเที่ยวทั้งหลาย ได้มาเชยชมผสมฝันตอมหมู่มวลภูผาพนาไพร แถมฟอกปอดกันที่บ้านของผมครับ ณ  “ภูเรือ...  ดินแดนทะเลภูเขา  สุดหนาวแลสยามประเทศ”



     
     “ภูเรือ”
มาจากลักษณะของ "ภูเขา" ซึ่งมีผาชะโงกยื่นออกมา  คล้ายเรือสำเภาขนาดใหญ่ โดยที่ราบบนเขามีลักษณะคล้ายท้องเรือ นอกจากนั้นโดยรอบมีภูเขาน้อยใหญ่ลดลั่นกันไป ทำให้เกิดลักษณะคล้ายกับคลื่นในท้องทะเล







เส้นแสงแรกแห่งอรุณรุ่ง

     งานนี้ใครอยากเห็นของดีแต่ราคาไม่แพง  เสริมสร้างกำไลให้กับชีวิตและก็ ต้องลงทุน (ซื้อนาฬิกาปลุกชั้นดีเสียงดังๆ) ลงแรง (ถีบตัวลุกขึ้น) ตื่นแต่เช้ากันหน่อยครับ เพราะของดีนั้นไม่เคยรอใคร(ที่ช้าสวยแบบเหวี่ยงๆ) ของดีมาตามนัดเสมอ กระนั้นแล้วของดีมีเวลาให้น้อยต้องรีบกันหน่อย




 มี คนเคยเล่าให้ฟังครับว่าการได้รับพลังของแสงแรกแห่งอรุณ จะมีพลังงานอย่างยิ่งใหญ่ประหนึ่งว่าเป็นการชาร์ทแบตให้กับตัวเราเอง คนเราก็ต้องมีวันหมดไฟกันเหมือนๆกับเครื่องยนต์แหละครับ

 
   
     "ภูเรือ" เป็นอีกที่หนึ่งครับที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นริมขอบของฝั่งฟ้า ได้สวยและประทับใจเหลือสุดจะบรรยาย งานนี้ต้องไปพิสูจน์เองแล้วล่ะครับ แต่การจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นนั้น ต้องเตรียมตัวให้ดีนะเพราะอากาศข้างบนช่วงหน้าหนาวจะหนาวจัดมากครับ เสื้อกันหนาวหนาๆ(อย่าให้แพ้เกาหลีเชียว) ร่างกายต้องแข็งแรงด้วยครับ





หินประหลาด เบิกตำนานยิ่งใหญ่ที่รอการสืบค้น


     ภูเรือนั้นเดิมว่า ภูทุ่งหรือภูท่ง เพราะว่ากันว่าเคยมีเมืองภูทุ่งตั้งอยู่บนภูเขาแห่งนี้ ถัดไปเป็นภูเขาอีกสองลูกคือ ภูคั่งหรือภูครั่ง และภูหินฮ่องกล้าหรือภูหินร่องกล้า ซึ่งต่างมีเมืองอยู่บนภูเขาเช่นกัน ทุกวันนี้เมืองภูทุ่ง เมืองภูคั่ง และเมืองภูหินร่องกล้าเป็นเมืองร้างมานานแล้ว มีนิทานตำนานท้องถิ่นที่คนเฒ่าคนแก่เล่ากันมาว่า



     เจ้าเมืองภูทุ่งมีธิดาสาวสวยองค์หนึ่งมีความงามเป็นเลิศ โอรสรูปงามแห่งเมืองภูคั่งได้มาพบธิดาเมืองภูทุ่ง แล้วเกิดความรักใคร่ชอบพอกัน เจ้าชายเมืองภูคั่งเสด็จกลับเมืองเพื่อทูลขอพระบิดาให้มาสู่ขอเจ้าหญิง ต่างฝ่ายต่างก็อยากเป็นทองแผ่นเดียวกัน การอภิเษกถูกกำหนดเตรียมพร้อมขบวนขันหมาก



     อีกด้านหนึ่งเจ้าชายแห่งภูหินร่องกล้า ที่หลงรักเจ้าหญิงภูทุ่งเช่นกัน เมื่อทราบข่าวการแต่งงาน ก็ทูลขอร้องบิดาให้ฉุดคร่าเจ้าหญิงก่อนถึงพิธีอภิเษก



    ในวันอภิเษกเจ้าหญิงก็ถูกเจ้าชายเมืองภูหินร่องกล้าฉุดไป เมื่อเจ้าชายเมืองภูคั่งทราบเรื่อง ก็โกรธเคืองและผิดหวังจึงทำลายขบวนขันหมากที่นำมา ข้าวของต่างๆ ก็กระจัดกระจายกลายเป็นก้อนโขดหินต่างๆ เ
ป็น “ลานหินพานขันหมาก” และสร้าง "หินศิวลึงค์" ไว้ให้คนที่ผ่านไป-มา เคารพบูชา รวมถึงยังสร้าง "หินเต่า" ที่มีรูปร่างคล้ายเต่า อยู่ห่างออกไปริมถนนทางลงจากยอดภูเพื่อประชดตัวเอง




   
     นี้เป็นตำนานสำคัญที่ผูกโยงภูมิศาสตร์ท้องถิ่นเข้ากับพื้นฐานความคิดของผู้คนพื้นเมือง เป็นประวัติศาสตร์ที่รอการสืบค้นต่อไป










ลัดเลาะ เชยชมดอกพฤกษา
     นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องของความหนาวเย็นแล้ว ภูเรือยังมีลักษณะความพิเศษทางภูมิศาสตร์ ทำให้สามารถเพาะปลูกพืชพันธุ์เมืองหนาวได้มากมาย ที่โดดเด่นมากก็มี คริสต์มาส พิทูเนียร์ พืชพันธุ์นานาชนิด



     ค่ำคืนมืดดึกดื่นที่นี่เงียบสบงหนาวเยือกเย็น เพราะความหนาวนะหรือที่เป็นมนตร์เสน่ห์ส่งกลิ่นล่อมวลชน ชวนให้นักเดินทางรุ่นแล้วรุ่นเล่าไปค้นหา และสัมผัสในดินแดนสุดหนาวในสยาม ที่มีนามว่า “ภูเรือ”
















อุณหภูมิเฉลี่ย (Temp) 
เย็นสบายตอนกลางวัน ค่อนข้างหนาวในตอนกลางคืนในฤดูร้อน
มี.ค. - มิ.ย.    ต่ำสุด    18 °C    ถึง      24 °C
                  สูงสุด    26 °C    ถึง      30 °C

เขียวสดชื่น และฉ่ำเย็น ด้วยไอหมอกทะเลเมฆใน ฤดูฝน
มิ.ย. - ก.ย.    ต่ำสุด    16 °C     ถึง      22°C
                  สูงสุด    24 °C     ถึง      28°C

เย็นยะเยือกท้าลมหนาว และแม่คะนิ้ง ในฤดูหนาว
ต.ค. - ก.พ.    ต่ำสุด    -2 °C    ถึง     10 °C
                  สูงสุด    25 °C   ถึง      20 °C

สถานที่ติดต่อ
อุทยานแห่งชาติภูเรือ ต.หนองบัว อ. ภูเรือ จ. เลย 42160
โทรศัพท์ 0 4288 1716, 0 4288 4144

การเดินทาง

 
รถยนต์
จังหวัด เลยอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 558 กิโลเมตร จากจังหวัดเลยเดินทางไปโดยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 203 ระยะทางประมาณ 48 กิโลเมตร ถึงตัวอำเภอภูเรือ จากนั้นเดินทางต่อไปอีก 4 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ



มีที่พักแรม/บ้านพัก มีที่กางเต็นท์/เต็นท์