วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

พิธีแต่งงาน ในแบบฉบับของ "พม่า"



เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2557 ชายชาวพม่า 2 คนติน โก โก และเมียว มิน เต๊ต ในชุดประจำชาติ พร้อมดอกไม้ประดับที่หน้าอกเสื้อ และสวมพวงดอกมะลิอย่างเข้าคู่กัน ได้เข้าพิธีแต่งงานต่อหน้าสาธารณชนในโรงแรมแห่งหนึ่งในนครย่างกุ้ง นับเป็นการแต่งงานระหว่างชายรักชายครั้งแรกในประเทศอนุรักษนิยมแห่งนี้ คู่แรกของพม่า
      การแต่งงานนี้เลยทำให้นึกไปถึงพิธีแต่งงานแบบในแบบฉบับของพม่า


พิธีแต่งงานของ "พม่า"



พม่าเรียกการแต่งงาน ในความหมายว่า งานมงคลประสานมือ ภาษาพม่าว่า และทัต-มีงกลา-บแว (]dN5xN,8§]kx:c) คำว่า และทัต(]dN5xN) นั้นเป็นอาการที่ฝ่ายหญิงวางมือลงบนมือของฝ่ายชาย อาจถือเป็นการมอบชีวิตไว้ให้ฝ่ายชายครอบครองดูแล ส่วนญาติมิตรก็จะรดน้ำลงบนมือบ่าวสาวเป็นสักขีพยาน พร้อมสื่อความให้ทั้งสองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวตัดไม่ขาดดั่งสายน้ำ



 

อันที่จริง แม้พิธีแต่งงานจะเป็นพิธีเพื่อการยอมรับทางสังคมและเครือญาติก็ตาม แต่สังคมพม่าก็รับได้ หากจะครองคู่แบบ ตากโสร่งร่วมราว กินข้าวร่วมสำรับ(x6C6bt9oNt9'N ]dNC6"0kt) คืออยู่กินกันโดยไม่ผ่านพิธีแต่งงาน ขอเพียงว่าทั้งชายและหญิงต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีเท่านั้น กระนั้นก็ควรได้รับคำยินยอมจากผู้ใหญ่เสียก่อน แต่ถ้าต่างอายุถึง ๒๐ ปี ก็มีอิสระเต็มที่ นี่ว่ากันตามกฎหมายจารีตของพม่า

 

การเลือกคู่ครองของชาวพม่านั้น ย่อมมีเรื่องค่านิยมมาเกี่ยวข้อง อาทิ อาชีพการงาน ศาสนา เชื้อชาติ และวัย ผู้ชายอาชีพวิศวกร ทหาร กะลาสี ดูจะสร้างความมั่นคงให้ครอบครัวได้ดีกว่าอาชีพหมอ หรือครู ส่วนชาวพุทธยากที่จะเลือกคู่ครองเป็นมุสลิม ฝรั่งที่อยู่กินกับชาวพม่านั้นหายาก ที่น่าสนใจ ผู้หญิงพม่าน่าจะเคยมีค่านิยมเลือกผู้ชายที่มีอายุอ่อนกว่า เพราะดูแปลกที่ภรรยาอาจเรียกสามีว่า หม่อง (g,k'N) ซึ่งแปลว่า น้องชาย ได้ด้วย

 

หากเอ่ยถึง แม่สื่อ พม่าจะเรียกว่า อ่อง-ตแว(gvk'Nl:pN) แปลว่า ผู้ผูกสมหวัง  แม่สื่อมักจะต้องช่วยทาบทามและต่อรองค่าสินสอด หรือ ตี่งตอง (9'Ng9k'Nt) และไม่เพียงฝ่ายชายเท่านั้นที่ต้องเสียค่าสินสอด ในบางกรณี ฝ่ายหญิงอาจต้องจ่ายค่าสินสอดด้วยเช่นกัน พบได้ในคู่ที่ฝ่ายหญิงมีฐานะการเงินดี ส่วนฝ่ายชายมีตำแหน่งการงานใหญ่โต แน่นอนย่อมไม่ใช่ค่านิยมของคนธรรมดาสามัญ

 

พม่าเชื่อถือในเรื่องชะตาฟ้าลิขิตไม่น้อยเช่นกัน คู่หมายปองที่ดวงไม่สมพงศ์กัน อาจไม่ได้รับคำยินยอมจากผู้ปกครอง ด้วยเชื่อว่าชีวิตคู่จะไปไม่รอดแบบว่า นอนหมอนไม่อุ่น(v6"t,gO:t) แต่ถ้าเห็นว่าดวงสมพงศ์กันดี(goho"l'NH) ก็จะปักใจไว้ก่อนว่า แม้จะเป็นบ้า ก็คงไม่อดข้าว (U^tg9k'N 5,'Nt,'9N4^t) วันที่เกิดจึงมีความสำคัญ หากเกิดวันพุธจะเหมาะกับคนเกิดวันเสาร์ แต่ไม่ควรครองคู่กับคนเกิดวันอาทิตย์  ถ้าเป็นคนเกิดวันพฤหัสบดีก็ไม่เหมาะกับคนเกิดวันเสาร์ ด้วยเชื่อว่าจะต้องแยกกันอยู่ ส่วนคนเกิดวันอังคาร พฤหัสบดี หรือ ศุกร์ ไม่ควรอยู่กินกับคนเกิดวันเดียวกัน หากต่างเกิดวันอังคาร ก็จะทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน หากต่างเกิดวันพฤหัสบดี จะขัดสนและอายุสั้น และหากต่างเกิดวันศุกร์ จะต้องลำบากแสนเข็ญ อย่างไรก็ตาม แม้ดวงไม่สมพงศ์ ก็สามารถสะเดาะเคราะห์ได้อยู่ดี

 

หากตกลงปลงใจ ก็เลือกวันแต่ง โดยต้องพึ่งพระพึ่งหมอดูดูฤกษ์ยาม ชาวพุทธพม่าไม่นิยมแต่งในช่วงเข้าพรรษา และจะแนะให้รั้งรอเลี่ยงพรรษา(;jgiak'N) เวลาที่นิยมจึงเป็นช่วงออกพรรษา หรือช่วงหน้าหนาว หากเป็นคนชนบท ก็มักต้องพ้นช่วงฤดูทำนา

 

ในวันแต่งงานนั้น คู่บ่าวสาวนิยมสวมชุดประจำชาติ (U6btik;9N06") ชุดเจ้าบ่าว เป็นเสื้อคอตั้ง แขนยาว สีขาว เรียก และกโดง(]PNd96"t) คลุมทับด้วยเสื้อ ไต้โป่ง(96bdNx6") อาจเป็นเหลืองหรือชมพู และนุ่งโสร่ง ที่เรียกว่า โลงฉี่ (]6"-yPN) ส่วนเจ้าสาวจะสวมเสื้อเอวลอยแขนสามส่วน (ที่เมืองมัณฑะเลยังนิมยมชุดผ้าลูกไม้) นุ่งซิ่นลายตะขอ เรียกว่า เชะ (-yb9N) และห่มสไบ รองเท้าของเจ้าบ่าวเป็นรองเท้าคีบกำมะหยี่ ส่วนเจ้าสาวนิยมรองเท้าส้นสูงหรือส้นตึก

 

หากทำบัตรเชิญ (zb9N0k) ในบัตรนั้น ก็มักจะบอกคุณสมบัติของทั้งสองฝ่ายจนครบถ้วน และถ้าเป็นลูกหลานของผู้มีฐานะหรือตำแหน่งงานสำคัญ ก็จะระบุยศศักดิ์ของพ่อแม่หรือญาติใกล้ชิด  พม่านิยมแจกของชำร่วยในงานแต่งงานเช่นกัน ที่นิยมเห็นจะเป็นพัด สมุดบันทึก พวงกุญแจรูปนกฮูก  พม่าเชื่อว่านกฮูกเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง บอกถึงหูตาแหลมคม โดยเฉพาะทางการค้าขาย

 

พม่าไม่นิยมของรับไหว้ หรือ และ-ผแวะ(]dNz:ch) เป็นตัวเงิน แต่จะมอบกันเป็นสิ่งของเครื่องใช้ แล้วแต่จะหาให้ได้ อาจเป็นพัดลม หรือตู้เย็น ก็ได้ ส่วนการให้ศีลให้พรแก่คู่บ่าวสาวนั้น มักจะกล่าวว่า ขอให้ครองคู่กันไปจนเฒ่าชรา (v6bgvk'N,'Ntgvk'N gxj'NtEdxjg0) เป็นต้น

 

ในวันแต่ง นอกจากเลี้ยงแขกเหรื่อแล้ว ยังต้องถวายอาหารแด่พระสงฆ์ เรียกว่าพิธีมงคลถวายภัตตาหาร (,8§]kFtC:,Ntgd°t)หากปลูกเรือนหอ ก็จะทำบุญขึ้นบ้านใหม่และฉลองหิ้งพระเสร็จสรรพในคราวเดียว

 

เมื่อแต่งงานก็ย่อมนึกถึงลูกสืบตระกูล พม่านิยมลูกชาย เพราะสามารถบวชทดแทนคุณได้ ใครได้ลูกชายเป็นคนหัวปี ก็จะคุยได้ว่าเป็น ตาฉี่ง (lktia'N) แปลว่า เจ้าของบุตรชาย ส่วนลูกหญิงนั้นดูจะเห็นค่าต่างจากชาย ลูกสาวถือเป็นความกังวลปนความหวัง ดังเปรียบว่าลูกชายร้าย แค่เสือ ลูกสาวร้าย ปานไฟ(lktC6btd dykt l,utC6btd ,ut) แต่กระนั้น ก็ไม่วายที่จะมองว่าลูกสาวมักเป็นที่พึ่งของพ่อแม่ในวัยชราได้ดีกว่าลูกชาย แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ชาวพม่าจะให้ค่าแก่บุตรธิดาว่า เป็นดุจรัตนะแก้วมณี (i9oklktl,ut) ลูกจึงมีค่าไม่ต่างจากทรัพย์สมบัติของพ่อแม่

 

มีแต่งก็อาจต้องมีหย่า หรือ กว่าชีง(d:kia'Nt) กันได้ พม่าถือเป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ด้วยต้องกระทบต่อความรู้สึกของญาติผู้ใหญ่ และไม่พ้นคำนินทาจากชาวบ้าน ยิ่งผู้หญิงหย่าร้าง จะแต่งใหม่ถือเป็นเรื่องยาก พม่าจะเรียกแม่ร้างว่า ตะคุลัต (90N-6]xN)เป็นคำที่ออกจะค่อนแคะ ดังสำนวนว่า แม่ร้างว่างผัว  มิอาจแลกสิบดรุณี (90N-6]xN 90N]'Nd:kdPk90NdybxNOa'NH ,]cO6b'Nxj) นั่นกินความว่า แม่ร้างนั้นไม่มีพรหมจารีที่ต้องเฝ้ารักษา แม้มีค่าดุจมณีร้าว แต่ยังควรคู่ยิ่งกว่าสาวรุ่นดรุณี นับเป็นวจีลดค่า ที่ฟังดูดี

 

ส่วนที่เป็นหม้ายเพราะการตายจากนั้น มักจะได้รับความเห็นใจจากเพื่อนบ้าน หากเป็นพ่อหม้ายจะมีใหม่กลับไม่ถือว่าเกินเลย พม่าเรียกพ่อหม้ายว่า มกโซโบ่ (,6C6btz6b)  ส่วนแม่หม้าย เรียกว่า มกโซมะ (,6C6bt,)

สำหรับคนที่หาเนื้อคู่ หรือ นพูส่า (oz^t0k) ไม่ได้ เชื่อว่าเป็นเพราะกรรมเก่า ก็ย่อมต้องครองโสดกันไป หนุ่มแก่ เรียกว่า หลู่-ปโหย่จี(]^xy7bWdut) ส่วนสาวแก่จะเรียกว่า อะปโหย่จี (vxy7bWdut) แต่พอตายลง เขาจะช่วยแก้กรรมให้ ด้วยการตัดต้นกล้วยเป็นท่อนใส่ไปในโลง ถือเป็นน้ำจิตน้ำใจที่ชาวบ้านพอจะยื่นโยนให้ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต

ที่มา: อรนุช นิยมธรรม

ไม่มีความคิดเห็น: