วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

ลดน้ำหนักในฤดูใบไม้ผลิ


ลดน้ำหนักในฤดูใบไม้ผลิ


 เรียกได้ว่าสาวๆ ทุกคนต้องรักความสวย “ถ้าไม่สวยก็ต้องตาย” เหมือนคำโฆษณาบนเว็บไซต์ขายเครื่องสำอางของจีน ที่ทำให้เราฟังแล้วต้องสะดุ้ง แต่คำพูดจากประโยคดังกล่าวมันแฝงด้วยนัยว่า ความสวยนั้นสำคัญมากเพียงไรในสายตาของสาวๆ  โดยเฉพาะผู้หญิงยุคใหม่ ความสวยต้องมีมาตรฐานหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น  ผิวสวย หน้าตางาม  นิสัยดี และที่สำคัญคือรูปร่างต้องดีด้วย นั่นหมายถึงเอวบางร่างน้อยอรชรอ้อนแอ้น ตามกระแสแฟชั่นนิยม 


หากจะว่าไปแล้วชาวเน็ตจีนแทบทุกคนจะต้องรู้จัก บทความตอนหนึ่งที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์หลายต่อหลายเพจ   ว่า  เดือนมีนาไม่ลดน้ำหนัก เดือนเมษาก็ต้องโศกเศร้าเอง เดือนพฤษภาทำให้คนอื่นไม่สบายตา เดือนมิถุนาแฟนจะบอกเลิก เดือนกรกฏาแดงแรงผิวดำ เดือนสิงหาร้อนต้องอยู่ในบ้าน เดือนกันยาอ้วนขึ้นอีก เดือนตุลายุ่งกับการหาแฟน เดือนพฤศจิกาไม่มีเพื่อน เดือนธันวารูปร่างเสียหมด เดือนมกราน้ำหนักขึ้น เดือนกุมภาอ้วนจนเพื่อนไม่รู้จัก

โดยข้อความข้างที่กล่าวมานั้นบอกเราว่า เดือนมีนาคมเป็นฤดูใบไม้ผลิของจีน เชื่อว่าเป็นฤดูที่เหมาะกับการลดน้ำหนักที่สุด แต่ถ้าพลาดโอกาสลดน้ำหนักในช่วงนี้ หากปล่อยให่ผ่านไปจนเข้าเดือนเมษายนก็ต้องกลายเป็นเรื่องน่าโศกเศร้า เพราะเมื่อถึงหน้าร้อน สาวๆ ก็อยากใส่กระโปรง แต่ติดที่รูปร่างยังอ้วนอยู่ เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเริ่มเข้าสู่หน้าร้อน ก็ต้องใส่เสื้อผ้าที่บางๆ เผยให้เห็นความอ้วน จนไปขัดหูขัดตาคนอื่น  พอถึงเดือนมิถุนายน แฟนก็ทนไม่ไหวจึงขอบอกเลิก  เดือนกรกฎาคม แสงแดดแรงก็ทำให้ผิวเปลี่ยนสีกลายเป็นคนผิวคล้ำ เดือนสิงหาคมยิ่งร้อนหนักเข้าไปอีกทำให้ขี้เกียจออกกำลังกาย  ส่วนใหญ่หลบแดดอยู่ภายในบ้าน  ทำให้เดือนกันยายนยิ่งอ้วนขึ้น ในเมื่อไม่มีแฟนแล้ว เดือนตุลาคมต้องยุ่งกับการหาแฟน แต่เนื่องจากรูปร่างไม่ดีจึงยังไม่มีแฟน ถึงเดือนพฤศจิกายนเพื่อนฝูงก็หายหน้าไปหมด เพราะที่ผ่านมาไม่มีเวลาให้เพื่อนๆ เลย  เดือนธันวาคมซึ่งเป็นฤดูหนาวของจีน โดยปกติมักจะกินของมันๆ มากขึ้น เลยทำให้เดือนนี้น้ำหนักเพิ่มขึ้น มาถึงเดือนมกราคมก็อ้วนเข้าไปใหญ่  ถึงเดือนกุมภาพันธ์แล้วอ้วนจนเพื่อนๆ ก็จำแทบจะจำไม่ได้เลย


วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

พิธีแต่งงาน ในแบบฉบับของ "พม่า"



เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2557 ชายชาวพม่า 2 คนติน โก โก และเมียว มิน เต๊ต ในชุดประจำชาติ พร้อมดอกไม้ประดับที่หน้าอกเสื้อ และสวมพวงดอกมะลิอย่างเข้าคู่กัน ได้เข้าพิธีแต่งงานต่อหน้าสาธารณชนในโรงแรมแห่งหนึ่งในนครย่างกุ้ง นับเป็นการแต่งงานระหว่างชายรักชายครั้งแรกในประเทศอนุรักษนิยมแห่งนี้ คู่แรกของพม่า
      การแต่งงานนี้เลยทำให้นึกไปถึงพิธีแต่งงานแบบในแบบฉบับของพม่า


พิธีแต่งงานของ "พม่า"



พม่าเรียกการแต่งงาน ในความหมายว่า งานมงคลประสานมือ ภาษาพม่าว่า และทัต-มีงกลา-บแว (]dN5xN,8§]kx:c) คำว่า และทัต(]dN5xN) นั้นเป็นอาการที่ฝ่ายหญิงวางมือลงบนมือของฝ่ายชาย อาจถือเป็นการมอบชีวิตไว้ให้ฝ่ายชายครอบครองดูแล ส่วนญาติมิตรก็จะรดน้ำลงบนมือบ่าวสาวเป็นสักขีพยาน พร้อมสื่อความให้ทั้งสองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวตัดไม่ขาดดั่งสายน้ำ



 

อันที่จริง แม้พิธีแต่งงานจะเป็นพิธีเพื่อการยอมรับทางสังคมและเครือญาติก็ตาม แต่สังคมพม่าก็รับได้ หากจะครองคู่แบบ ตากโสร่งร่วมราว กินข้าวร่วมสำรับ(x6C6bt9oNt9'N ]dNC6"0kt) คืออยู่กินกันโดยไม่ผ่านพิธีแต่งงาน ขอเพียงว่าทั้งชายและหญิงต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีเท่านั้น กระนั้นก็ควรได้รับคำยินยอมจากผู้ใหญ่เสียก่อน แต่ถ้าต่างอายุถึง ๒๐ ปี ก็มีอิสระเต็มที่ นี่ว่ากันตามกฎหมายจารีตของพม่า

 

การเลือกคู่ครองของชาวพม่านั้น ย่อมมีเรื่องค่านิยมมาเกี่ยวข้อง อาทิ อาชีพการงาน ศาสนา เชื้อชาติ และวัย ผู้ชายอาชีพวิศวกร ทหาร กะลาสี ดูจะสร้างความมั่นคงให้ครอบครัวได้ดีกว่าอาชีพหมอ หรือครู ส่วนชาวพุทธยากที่จะเลือกคู่ครองเป็นมุสลิม ฝรั่งที่อยู่กินกับชาวพม่านั้นหายาก ที่น่าสนใจ ผู้หญิงพม่าน่าจะเคยมีค่านิยมเลือกผู้ชายที่มีอายุอ่อนกว่า เพราะดูแปลกที่ภรรยาอาจเรียกสามีว่า หม่อง (g,k'N) ซึ่งแปลว่า น้องชาย ได้ด้วย

 

หากเอ่ยถึง แม่สื่อ พม่าจะเรียกว่า อ่อง-ตแว(gvk'Nl:pN) แปลว่า ผู้ผูกสมหวัง  แม่สื่อมักจะต้องช่วยทาบทามและต่อรองค่าสินสอด หรือ ตี่งตอง (9'Ng9k'Nt) และไม่เพียงฝ่ายชายเท่านั้นที่ต้องเสียค่าสินสอด ในบางกรณี ฝ่ายหญิงอาจต้องจ่ายค่าสินสอดด้วยเช่นกัน พบได้ในคู่ที่ฝ่ายหญิงมีฐานะการเงินดี ส่วนฝ่ายชายมีตำแหน่งการงานใหญ่โต แน่นอนย่อมไม่ใช่ค่านิยมของคนธรรมดาสามัญ

 

พม่าเชื่อถือในเรื่องชะตาฟ้าลิขิตไม่น้อยเช่นกัน คู่หมายปองที่ดวงไม่สมพงศ์กัน อาจไม่ได้รับคำยินยอมจากผู้ปกครอง ด้วยเชื่อว่าชีวิตคู่จะไปไม่รอดแบบว่า นอนหมอนไม่อุ่น(v6"t,gO:t) แต่ถ้าเห็นว่าดวงสมพงศ์กันดี(goho"l'NH) ก็จะปักใจไว้ก่อนว่า แม้จะเป็นบ้า ก็คงไม่อดข้าว (U^tg9k'N 5,'Nt,'9N4^t) วันที่เกิดจึงมีความสำคัญ หากเกิดวันพุธจะเหมาะกับคนเกิดวันเสาร์ แต่ไม่ควรครองคู่กับคนเกิดวันอาทิตย์  ถ้าเป็นคนเกิดวันพฤหัสบดีก็ไม่เหมาะกับคนเกิดวันเสาร์ ด้วยเชื่อว่าจะต้องแยกกันอยู่ ส่วนคนเกิดวันอังคาร พฤหัสบดี หรือ ศุกร์ ไม่ควรอยู่กินกับคนเกิดวันเดียวกัน หากต่างเกิดวันอังคาร ก็จะทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน หากต่างเกิดวันพฤหัสบดี จะขัดสนและอายุสั้น และหากต่างเกิดวันศุกร์ จะต้องลำบากแสนเข็ญ อย่างไรก็ตาม แม้ดวงไม่สมพงศ์ ก็สามารถสะเดาะเคราะห์ได้อยู่ดี

 

หากตกลงปลงใจ ก็เลือกวันแต่ง โดยต้องพึ่งพระพึ่งหมอดูดูฤกษ์ยาม ชาวพุทธพม่าไม่นิยมแต่งในช่วงเข้าพรรษา และจะแนะให้รั้งรอเลี่ยงพรรษา(;jgiak'N) เวลาที่นิยมจึงเป็นช่วงออกพรรษา หรือช่วงหน้าหนาว หากเป็นคนชนบท ก็มักต้องพ้นช่วงฤดูทำนา

 

ในวันแต่งงานนั้น คู่บ่าวสาวนิยมสวมชุดประจำชาติ (U6btik;9N06") ชุดเจ้าบ่าว เป็นเสื้อคอตั้ง แขนยาว สีขาว เรียก และกโดง(]PNd96"t) คลุมทับด้วยเสื้อ ไต้โป่ง(96bdNx6") อาจเป็นเหลืองหรือชมพู และนุ่งโสร่ง ที่เรียกว่า โลงฉี่ (]6"-yPN) ส่วนเจ้าสาวจะสวมเสื้อเอวลอยแขนสามส่วน (ที่เมืองมัณฑะเลยังนิมยมชุดผ้าลูกไม้) นุ่งซิ่นลายตะขอ เรียกว่า เชะ (-yb9N) และห่มสไบ รองเท้าของเจ้าบ่าวเป็นรองเท้าคีบกำมะหยี่ ส่วนเจ้าสาวนิยมรองเท้าส้นสูงหรือส้นตึก

 

หากทำบัตรเชิญ (zb9N0k) ในบัตรนั้น ก็มักจะบอกคุณสมบัติของทั้งสองฝ่ายจนครบถ้วน และถ้าเป็นลูกหลานของผู้มีฐานะหรือตำแหน่งงานสำคัญ ก็จะระบุยศศักดิ์ของพ่อแม่หรือญาติใกล้ชิด  พม่านิยมแจกของชำร่วยในงานแต่งงานเช่นกัน ที่นิยมเห็นจะเป็นพัด สมุดบันทึก พวงกุญแจรูปนกฮูก  พม่าเชื่อว่านกฮูกเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง บอกถึงหูตาแหลมคม โดยเฉพาะทางการค้าขาย

 

พม่าไม่นิยมของรับไหว้ หรือ และ-ผแวะ(]dNz:ch) เป็นตัวเงิน แต่จะมอบกันเป็นสิ่งของเครื่องใช้ แล้วแต่จะหาให้ได้ อาจเป็นพัดลม หรือตู้เย็น ก็ได้ ส่วนการให้ศีลให้พรแก่คู่บ่าวสาวนั้น มักจะกล่าวว่า ขอให้ครองคู่กันไปจนเฒ่าชรา (v6bgvk'N,'Ntgvk'N gxj'NtEdxjg0) เป็นต้น

 

ในวันแต่ง นอกจากเลี้ยงแขกเหรื่อแล้ว ยังต้องถวายอาหารแด่พระสงฆ์ เรียกว่าพิธีมงคลถวายภัตตาหาร (,8§]kFtC:,Ntgd°t)หากปลูกเรือนหอ ก็จะทำบุญขึ้นบ้านใหม่และฉลองหิ้งพระเสร็จสรรพในคราวเดียว

 

เมื่อแต่งงานก็ย่อมนึกถึงลูกสืบตระกูล พม่านิยมลูกชาย เพราะสามารถบวชทดแทนคุณได้ ใครได้ลูกชายเป็นคนหัวปี ก็จะคุยได้ว่าเป็น ตาฉี่ง (lktia'N) แปลว่า เจ้าของบุตรชาย ส่วนลูกหญิงนั้นดูจะเห็นค่าต่างจากชาย ลูกสาวถือเป็นความกังวลปนความหวัง ดังเปรียบว่าลูกชายร้าย แค่เสือ ลูกสาวร้าย ปานไฟ(lktC6btd dykt l,utC6btd ,ut) แต่กระนั้น ก็ไม่วายที่จะมองว่าลูกสาวมักเป็นที่พึ่งของพ่อแม่ในวัยชราได้ดีกว่าลูกชาย แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ชาวพม่าจะให้ค่าแก่บุตรธิดาว่า เป็นดุจรัตนะแก้วมณี (i9oklktl,ut) ลูกจึงมีค่าไม่ต่างจากทรัพย์สมบัติของพ่อแม่

 

มีแต่งก็อาจต้องมีหย่า หรือ กว่าชีง(d:kia'Nt) กันได้ พม่าถือเป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ด้วยต้องกระทบต่อความรู้สึกของญาติผู้ใหญ่ และไม่พ้นคำนินทาจากชาวบ้าน ยิ่งผู้หญิงหย่าร้าง จะแต่งใหม่ถือเป็นเรื่องยาก พม่าจะเรียกแม่ร้างว่า ตะคุลัต (90N-6]xN)เป็นคำที่ออกจะค่อนแคะ ดังสำนวนว่า แม่ร้างว่างผัว  มิอาจแลกสิบดรุณี (90N-6]xN 90N]'Nd:kdPk90NdybxNOa'NH ,]cO6b'Nxj) นั่นกินความว่า แม่ร้างนั้นไม่มีพรหมจารีที่ต้องเฝ้ารักษา แม้มีค่าดุจมณีร้าว แต่ยังควรคู่ยิ่งกว่าสาวรุ่นดรุณี นับเป็นวจีลดค่า ที่ฟังดูดี

 

ส่วนที่เป็นหม้ายเพราะการตายจากนั้น มักจะได้รับความเห็นใจจากเพื่อนบ้าน หากเป็นพ่อหม้ายจะมีใหม่กลับไม่ถือว่าเกินเลย พม่าเรียกพ่อหม้ายว่า มกโซโบ่ (,6C6btz6b)  ส่วนแม่หม้าย เรียกว่า มกโซมะ (,6C6bt,)

สำหรับคนที่หาเนื้อคู่ หรือ นพูส่า (oz^t0k) ไม่ได้ เชื่อว่าเป็นเพราะกรรมเก่า ก็ย่อมต้องครองโสดกันไป หนุ่มแก่ เรียกว่า หลู่-ปโหย่จี(]^xy7bWdut) ส่วนสาวแก่จะเรียกว่า อะปโหย่จี (vxy7bWdut) แต่พอตายลง เขาจะช่วยแก้กรรมให้ ด้วยการตัดต้นกล้วยเป็นท่อนใส่ไปในโลง ถือเป็นน้ำจิตน้ำใจที่ชาวบ้านพอจะยื่นโยนให้ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต

ที่มา: อรนุช นิยมธรรม