ทุกประเทศล้วนแล้วแต่จะเป็นเจ้าแห่งมหาอำนาจ ด้วยกันทั้งนั้น ความงามก็ไม่แพ้กันขับเคี้ยวกัน มากมาย "เจ้ามหาอำนาจความงามแห่งใหม่ แห่ง AEC และเอเชีย" เป็นจะเป็น ฟิลิปปินส์ ที่มาแรงความงามที่ฝรั่งยังกลัว เพราะพวกเธอเข้ารอบลึกทั้งนั้น ฟันตำแหน่งมานับไม่ท้วน อย่าคิดว่าเป็นคู่แข่งกับไทยเลย เค้าไปไกลมากแล้ว แค่คิดก็ยังแพ้ ฟิลิปปินส์ไม่มีแค่ประกวดชะนีหน้าสวย ยังมีประกวดชายหล่อด้วย แฟนคลับเชียร์ราวกับประกวดเอเอฟ เดอะสตาร์ บ้านเราล่ะประกวดเงียบๆแอบๆในผับ คนไทยสนใจนางงามมากไม่งั้นไม่โหวตให้ได้รางวัลมาได้หรอก เวทีนางงามมะม่วง มะพร้าว ส้มโอ มีมากล้นคนจะไม่สนใจได้อย่างไร ... ลิขสิทธิ์ จะเพื่อผลประโยชน์ของตนเองหรือเพื่อชาติ(ฝรั่งรู้จักมาเที่ยว) อันนี้ต้องให้คนเก็บไปคิด ประเทศที่ได้มง เพราะเจ้าของสถาบันสอนนางงามเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ดังนั้นต้องสร้างชื่อให้กับหน่อยงานตน หวังเก็บตังค์จากคนที่สมัครเข้ามาเรียน หากบ้านเราได้รับมง ก็อดเล่นละคร เพราะนางงามต้องเดินสายขอบคุณ ทำงานกุศลอีกนานปี กว่าจะมาเล่นละครก็แก่เสียแล้ว สู้ ส่งๆ ไป ไม่ได้ก็กลับมาเล่นละครป้อนช่องใหญ่เริ่ดจะตาย ...
วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557
ลดน้ำหนักในฤดูใบไม้ผลิ
วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557
พิธีแต่งงาน ในแบบฉบับของ "พม่า"
พิธีแต่งงานของ "พม่า"
พม่าเรียกการแต่งงาน ในความหมายว่า งานมงคลประสานมือ ภาษาพม่าว่า และทัต-มีงกลา-บแว (]dN5xN,8§]kx:c) คำว่า และทัต(]dN5xN) นั้นเป็นอาการที่ฝ่ายหญิงวางมือลงบนมือของฝ่ายชาย อาจถือเป็นการมอบชีวิตไว้ให้ฝ่ายชายครอบครองดูแล ส่วนญาติมิตรก็จะรดน้ำลงบนมือบ่าวสาวเป็นสักขีพยาน พร้อมสื่อความให้ทั้งสองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวตัดไม่ขาดดั่งสายน้ำ
อันที่จริง แม้พิธีแต่งงานจะเป็นพิธีเพื่อการยอมรับทางสังคมและเครือญาติก็ตาม แต่สังคมพม่าก็รับได้ หากจะครองคู่แบบ ตากโสร่งร่วมราว กินข้าวร่วมสำรับ(x6C6bt9oNt9'N ]dNC6"0kt) คืออยู่กินกันโดยไม่ผ่านพิธีแต่งงาน ขอเพียงว่าทั้งชายและหญิงต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีเท่านั้น กระนั้นก็ควรได้รับคำยินยอมจากผู้ใหญ่เสียก่อน แต่ถ้าต่างอายุถึง ๒๐ ปี ก็มีอิสระเต็มที่ นี่ว่ากันตามกฎหมายจารีตของพม่า
การเลือกคู่ครองของชาวพม่านั้น ย่อมมีเรื่องค่านิยมมาเกี่ยวข้อง อาทิ อาชีพการงาน ศาสนา เชื้อชาติ และวัย ผู้ชายอาชีพวิศวกร ทหาร กะลาสี ดูจะสร้างความมั่นคงให้ครอบครัวได้ดีกว่าอาชีพหมอ หรือครู ส่วนชาวพุทธยากที่จะเลือกคู่ครองเป็นมุสลิม ฝรั่งที่อยู่กินกับชาวพม่านั้นหายาก ที่น่าสนใจ ผู้หญิงพม่าน่าจะเคยมีค่านิยมเลือกผู้ชายที่มีอายุอ่อนกว่า เพราะดูแปลกที่ภรรยาอาจเรียกสามีว่า หม่อง (g,k'N) ซึ่งแปลว่า “น้องชาย” ได้ด้วย
หากเอ่ยถึง แม่สื่อ พม่าจะเรียกว่า อ่อง-ตแว(gvk'Nl:pN) แปลว่า “ผู้ผูกสมหวัง” แม่สื่อมักจะต้องช่วยทาบทามและต่อรองค่าสินสอด หรือ ตี่งตอง (9'Ng9k'Nt) และไม่เพียงฝ่ายชายเท่านั้นที่ต้องเสียค่าสินสอด ในบางกรณี ฝ่ายหญิงอาจต้องจ่ายค่าสินสอดด้วยเช่นกัน พบได้ในคู่ที่ฝ่ายหญิงมีฐานะการเงินดี ส่วนฝ่ายชายมีตำแหน่งการงานใหญ่โต แน่นอนย่อมไม่ใช่ค่านิยมของคนธรรมดาสามัญ
พม่าเชื่อถือในเรื่องชะตาฟ้าลิขิตไม่น้อยเช่นกัน คู่หมายปองที่ดวงไม่สมพงศ์กัน อาจไม่ได้รับคำยินยอมจากผู้ปกครอง ด้วยเชื่อว่าชีวิตคู่จะไปไม่รอดแบบว่า นอนหมอนไม่อุ่น(v6"t,gO:t) แต่ถ้าเห็นว่าดวงสมพงศ์กันดี(goho"l'NH) ก็จะปักใจไว้ก่อนว่า แม้จะเป็นบ้า ก็คงไม่อดข้าว (U^tg9k'N 5,'Nt,'9N4^t) วันที่เกิดจึงมีความสำคัญ หากเกิดวันพุธจะเหมาะกับคนเกิดวันเสาร์ แต่ไม่ควรครองคู่กับคนเกิดวันอาทิตย์ ถ้าเป็นคนเกิดวันพฤหัสบดีก็ไม่เหมาะกับคนเกิดวันเสาร์ ด้วยเชื่อว่าจะต้องแยกกันอยู่ ส่วนคนเกิดวันอังคาร พฤหัสบดี หรือ ศุกร์ ไม่ควรอยู่กินกับคนเกิดวันเดียวกัน หากต่างเกิดวันอังคาร ก็จะทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน หากต่างเกิดวันพฤหัสบดี จะขัดสนและอายุสั้น และหากต่างเกิดวันศุกร์ จะต้องลำบากแสนเข็ญ อย่างไรก็ตาม แม้ดวงไม่สมพงศ์ ก็สามารถสะเดาะเคราะห์ได้อยู่ดี
หากตกลงปลงใจ ก็เลือกวันแต่ง โดยต้องพึ่งพระพึ่งหมอดูดูฤกษ์ยาม ชาวพุทธพม่าไม่นิยมแต่งในช่วงเข้าพรรษา และจะแนะให้รั้งรอเลี่ยงพรรษา(;jgiak'N) เวลาที่นิยมจึงเป็นช่วงออกพรรษา หรือช่วงหน้าหนาว หากเป็นคนชนบท ก็มักต้องพ้นช่วงฤดูทำนา
ในวันแต่งงานนั้น คู่บ่าวสาวนิยมสวมชุดประจำชาติ (U6btik;9N06") ชุดเจ้าบ่าว เป็นเสื้อคอตั้ง แขนยาว สีขาว เรียก และกโดง(]PNd96"t) คลุมทับด้วยเสื้อ ไต้โป่ง(96bdNx6") อาจเป็นเหลืองหรือชมพู และนุ่งโสร่ง ที่เรียกว่า โลงฉี่ (]6"-yPN) ส่วนเจ้าสาวจะสวมเสื้อเอวลอยแขนสามส่วน (ที่เมืองมัณฑะเลยังนิมยมชุดผ้าลูกไม้) นุ่งซิ่นลายตะขอ เรียกว่า เชะ (-yb9N) และห่มสไบ รองเท้าของเจ้าบ่าวเป็นรองเท้าคีบกำมะหยี่ ส่วนเจ้าสาวนิยมรองเท้าส้นสูงหรือส้นตึก
หากทำบัตรเชิญ (zb9N0k) ในบัตรนั้น ก็มักจะบอกคุณสมบัติของทั้งสองฝ่ายจนครบถ้วน และถ้าเป็นลูกหลานของผู้มีฐานะหรือตำแหน่งงานสำคัญ ก็จะระบุยศศักดิ์ของพ่อแม่หรือญาติใกล้ชิด พม่านิยมแจกของชำร่วยในงานแต่งงานเช่นกัน ที่นิยมเห็นจะเป็นพัด สมุดบันทึก พวงกุญแจรูปนกฮูก พม่าเชื่อว่านกฮูกเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง บอกถึงหูตาแหลมคม โดยเฉพาะทางการค้าขาย
พม่าไม่นิยมของรับไหว้ หรือ และ-ผแวะ(]dNz:ch) เป็นตัวเงิน แต่จะมอบกันเป็นสิ่งของเครื่องใช้ แล้วแต่จะหาให้ได้ อาจเป็นพัดลม หรือตู้เย็น ก็ได้ ส่วนการให้ศีลให้พรแก่คู่บ่าวสาวนั้น มักจะกล่าวว่า ขอให้ครองคู่กันไปจนเฒ่าชรา (v6bgvk'N,'Ntgvk'N gxj'NtEdxjg0) เป็นต้น
ในวันแต่ง นอกจากเลี้ยงแขกเหรื่อแล้ว ยังต้องถวายอาหารแด่พระสงฆ์ เรียกว่าพิธีมงคลถวายภัตตาหาร (,8§]kFtC:,Ntgd°t)หากปลูกเรือนหอ ก็จะทำบุญขึ้นบ้านใหม่และฉลองหิ้งพระเสร็จสรรพในคราวเดียว
เมื่อแต่งงานก็ย่อมนึกถึงลูกสืบตระกูล พม่านิยมลูกชาย เพราะสามารถบวชทดแทนคุณได้ ใครได้ลูกชายเป็นคนหัวปี ก็จะคุยได้ว่าเป็น ตาฉี่ง (lktia'N) แปลว่า “เจ้าของบุตรชาย” ส่วนลูกหญิงนั้นดูจะเห็นค่าต่างจากชาย ลูกสาวถือเป็นความกังวลปนความหวัง ดังเปรียบว่าลูกชายร้าย แค่เสือ ลูกสาวร้าย ปานไฟ(lktC6btd dykt l,utC6btd ,ut) แต่กระนั้น ก็ไม่วายที่จะมองว่าลูกสาวมักเป็นที่พึ่งของพ่อแม่ในวัยชราได้ดีกว่าลูกชาย แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ชาวพม่าจะให้ค่าแก่บุตรธิดาว่า เป็นดุจรัตนะแก้วมณี (i9oklktl,ut) ลูกจึงมีค่าไม่ต่างจากทรัพย์สมบัติของพ่อแม่
มีแต่งก็อาจต้องมีหย่า หรือ กว่าชีง(d:kia'Nt) กันได้ พม่าถือเป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ด้วยต้องกระทบต่อความรู้สึกของญาติผู้ใหญ่ และไม่พ้นคำนินทาจากชาวบ้าน ยิ่งผู้หญิงหย่าร้าง จะแต่งใหม่ถือเป็นเรื่องยาก พม่าจะเรียกแม่ร้างว่า ตะคุลัต (90N-6]xN)เป็นคำที่ออกจะค่อนแคะ ดังสำนวนว่า แม่ร้างว่างผัว มิอาจแลกสิบดรุณี (90N-6]xN 90N]'Nd:kdPk90NdybxNOa'NH ,]cO6b'Nxj) นั่นกินความว่า แม่ร้างนั้นไม่มีพรหมจารีที่ต้องเฝ้ารักษา แม้มีค่าดุจมณีร้าว แต่ยังควรคู่ยิ่งกว่าสาวรุ่นดรุณี นับเป็นวจีลดค่า ที่ฟังดูดี
ส่วนที่เป็นหม้ายเพราะการตายจากนั้น มักจะได้รับความเห็นใจจากเพื่อนบ้าน หากเป็นพ่อหม้ายจะมีใหม่กลับไม่ถือว่าเกินเลย พม่าเรียกพ่อหม้ายว่า มกโซโบ่ (,6C6btz6b) ส่วนแม่หม้าย เรียกว่า มกโซมะ (,6C6bt,)
สำหรับคนที่หาเนื้อคู่ หรือ นพูส่า (oz^t0k) ไม่ได้ เชื่อว่าเป็นเพราะกรรมเก่า ก็ย่อมต้องครองโสดกันไป หนุ่มแก่ เรียกว่า หลู่-ปโหย่จี(]^xy7bWdut) ส่วนสาวแก่จะเรียกว่า อะปโหย่จี (vxy7bWdut) แต่พอตายลง เขาจะช่วยแก้กรรมให้ ด้วยการตัดต้นกล้วยเป็นท่อนใส่ไปในโลง ถือเป็นน้ำจิตน้ำใจที่ชาวบ้านพอจะยื่นโยนให้ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ที่มา: อรนุช นิยมธรรม